ผมได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ครั้งแรกตอนที่ผมเรียนอยู่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ทุกๆปีโรงเรียนจะจัดสัปดาห์ฟื้นฟู ผมชอบช่วงเวลานั้นมาก ไม่ใช่เพราะเราได้หยุดเรียนเท่านั้น แต่เพราะผมชอบกิจกรรมดนตรีในช่วงสัปดาห์ฟื้นฟู เราได้ร้อง เพลงและดูการแสดงดนตรีจากพี่ๆที่มาเป็นผู้นำ ผมไม่เคยคิด ว่าตัวเองจะเป็นคริสเตียน ผมเพียงแต่ชอบดนตรีและศรัทธา หลักคำสอนในเรื่องความรักเท่านั้น ผมสามารถท่องจำพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่13:4-7 ได้
ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเป็นลูกของพระเจ้า ผมคิดว่าถ้ามีความรักอย่างนี้จริงก็น่าจะดี ผมตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตจริงๆ เมื่อผมไปศึกษา ต่อที่สหรัฐอเมริกาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมถูกจัดให้ไปอยู่ กับ Host Family ที่เป็นศาสนาจารย์ ของคริสตจักรนาซารีน (Nazarene Church) ทำให้ผมมีโอกาสไปโบสถ์อย่างน้อยอาทิตย์ ละ 2 ครั้งกับครอบครัวนี้ การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนั้นเราไม่ สามารถเลือก Host Family เองได้ ทาง Host Sponsor จะเป็นผู้ เลือกให้ ตอนนั้นผมคิดว่าผม “โชคดี” ที่ได้อยู่กับครอบครัวดีๆ แต่ ตอนนี้ผมเชื่อว่านี่เป็นแผนการของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้จัดเตรียม ทุกอย่างให้ผม ครอบครัวที่ผมอยู่ด้วยชอบดนตรีเช่นเดียวกับผม Host Father ซึ่งเป็นศาสนาจารย์ที่โบสถ์ก็เป็นนักเปียโนด้วย และ ทุกคนในครอบครัวนี้ชอบร้องเพลง ต่อมาผมได้รับเชิญให้เล่นเปียโน ในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ด้วย เป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมาก ผมขอบคุณพระเจ้าที่เลือกครอบครัวนี้ให้ผม
เมื่อผมจบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและเดินทางกลับ เมืองไทย ผมไม่ได้ไปโบสถ์เลยเป็นเวลาหลายปี ผมเริ่มคิดถึงโบสถ์ คิดถึงพระเจ้า และพระองค์ก็มีวิธีเรียกผมกลับมา วันหนึ่งผมได้รู้จัก กับอาจารย์ภากร มังกรพันธุ์ (ตุ้ย) ผู้ช่วยศิษยาภิบาลของคริสตจักร สืบสัมพันธ์วงศ์ ผ่านทางน้องๆที่มาเรียนเปียโนกับผม อาจารย์ภากร ได้ชวนผมไปโบสถ์สืบสัมพันธ์วงศ์ ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่บนถนน สาทร ผมมีโอกาสเข้าเรียนในชั้นเรียนพระคัมภีร์และยังได้สอนด้วย ในบางครั้ง ทำให้ผมรู้สึก “Proud” กับ “ความรู้” ของผมมากไม่ว่า เรื่องพระคัมภีร์หรือความสามารถด้านดนตรี ผมเคยคิดว่าถ้าผมใช้ ความสามารถของตัวเองเรียนรู้ “ปรัชญา” คริสเตียนอย่างแตกฉาน ผมน่าจะประสบความสำเร็จและดีกว่าคนอื่นๆ และพระเจ้าต้องให้ รางวัลผมเป็นพิเศษ แต่ความรู้ความสามารถในเรื่องดนตรีหรือ พระคัมภีร์ไม่ได้ทำให้ผมรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเลย คุณน่าจะเดาได้ ว่าเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอน ชีวิตผมพบกับความผิดหวัง ผมผิดพลาด ผมขมขื่น ผมไม่เข้าใจว่าในเมื่อผมพยายามรับใช้พระเจ้าและเป็นคน ดีแล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ตอบคำอธิฐานตามที่ผมขอ ต่อมาผมจึงเริ่ม เข้าใจว่า จริงๆแล้วพระเจ้าทรงตอบคำอธิฐานของผม เพียงแต่ไม่ใช่ ตามอย่างที่ผมต้องการ พระองค์ทรงทราบว่าอะไรเหมาะกับผมที่สุด ปัจจุบันผมมีครอบครัวที่น่ารัก ผมแต่งงานกับน้องแมว(ปาริฉัตร สุคันธวานิช) และมีลูกสาว 1 คนชื่อ น้องเดนา (Dena ภาษาฮิบรู แปลว่า Blameless) ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าUnconditional Love จริงๆ เมื่อผมมีลูกแล้ว มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยตัวเองได้ เรามีความจำกัดมาก ผมมีพระเจ้าเป็นผู้นำในชีวิตของผม และพระเจ้าไม่เคยลืมพระ สัญญาของพระองค์ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือ การไม่ได้ยินของ พระองค์เมื่อพระองค์เรียกกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ในพระเจ้า
ผมขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก คือเป็นอาจารย์สอนดนตรี ได้มีโอกาสถ่ายทอดไม่เพียงความรู้ด้านดนตรี แต่เรื่องความรักของ พระเยซูคริสต์ต่อนักศึกษาและเยาวชนรุ่นใหม่ของสังคมด้วย ขอพระเจ้าอวยพรท่านทุกคนให้พบกับ ความรักของพระองค์เนื่องในวันคริสตสมภพ