สุรเชษฐ เฑียรบุญเลิศรัตน์(โจ้)
Animator
“จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ผู้ทรงอภัยความบาปผิดทั้ง สิ้นของท่าน ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่านผู้ทรงไถ่ชีวิตของท่านจากปากแดนผู้ตาย ผู้ทรงสวมความรักมั่นคงและพระกรุณาให้ท่านผู้ทรงให้ท่านอิ่มด้วยของดี ตลอดชีวิตของท่าน วัยหนุ่มของท่านจะกลับคืนมาใหม่อย่างวัยนกอินทรี” (สดุดี 103:2-5)
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับที่ตรงนี้ที่ผมมีโอกาสเล่าถึงพระคุณของพระเจ้าที่เกิดในชีวิตของผม เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากงาน True Worshiper 2007 เช้าวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2007 ผมเริ่มมีอาการปวดขาแต่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักแค่ปวดๆตึงๆ แค่ทำงานไม่สะดวก และ เมื่อตอนเย็น กลับถึงบ้านก็ใช้ยาระงับอาการปวดกล้ามเนื้อ และรู้สึกสบายขึ้นและเผลอหลับไปตอน 2 ทุ่มผมสะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืน ด้วยอาการ เจ็บปวด กล้ามเนื้อที่ต้นแขนและหัวไหล่ทั้งสองข้าง เหมือนกับถูกมีดบาดลึกๆ และเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆไม่เคยเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน เลยครับ ผมจึงเข้าไปหาหมอที่โรงพยาบาล แต่หมอไม่สามารถตรวจพบเจออาการใดๆ และได้ฉีดยาระงับการปวดเข้าเส้นไป 2 เข็ม หลังจากนั้นใช้เวลาไป 4 วันกับหมออีก 2 ท่าน แต่ก็ไม่สามารถพบสาเหตุ ในวันต่อมาผมเริ่มมีอาการนิ้วชา ยกแขนไม่ขึ้น และไม่สามารถเอานิ้วจิ้มจมูก ตัวเองได้ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าเกิดปัญหาหนักขึ้นแล้ว ผมจึงรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำการตรวจให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง มีทั้งเอ็กซ์เรย์ และหมอส่งไปตรวจ MRI (การตรวจโดยการผ่านอุโมงค์แสกนเพื่อเช็คกระดูกสันหลังว่าทับเส้นประสาทหรือเปล่า) เวลาได้ผ่านไปอีก 2 วัน ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่รู้อยู่อย่างเดียวคือผมเจ็บกล้ามเนื้อที่ต้นแขนมาก วันต่อมาหมอระบบประสาทเริ่มเข้ามาตรวจผม ในวันเดียวกันนั้นพี่ที่โบสถ์มาเยี่ยม และพอทราบเรื่องว่าเกี่ยวกับระบบประสาท จึงพาผมย้ายไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่พี่เค้ารู้จักหมอเฉพาะทางด้านนี้ พอมาถึงที่โรงพยาบาล คุณหมอ วาริสาซักประวัติผมและเริ่มตรวจอาการ ขั้นต้นด้วยการเอาไม้จิ้มฟันจิ้มตามมือและแขนเพื่อตรวจระดับการรับรู้ของประสาท หลังจากนั้นคุณหมอเหมือนกับสันนิฐาน อะไรบางอย่าง จึงรีบทำการเจาะเลือดจากเส้นเลือดดำ และเก็บน้ำจากไขสันหลังออกมาตรวจ
ผมถูกส่งเข้าห้อง ICU และถูกติดอุปกรณ์ช่วยเหลือเต็มตัวผมไปหมด ในตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าถึงเวลาทดสอบความเชื่อครั้งใหญ่
สำหรับผมแล้ว แต่ผมก็รู้สึกประหลาดใจว่า ผมไม่รู้สึกกลัวเลย เพราะผมรู้ว่ามันจะผ่านพ้นไปโดยอาศัยพระคุณของพระเจ้า ในห้อง ICU
คุณหมอให้เป่าเช็ค ออกซิเจน และตรวจการหายใจทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ตัวก็เต็มไปด้วยสายระโยงระยาง ผมมารู้ทีหลังว่า ที่คุณหมอให้เข้าห้อง ICU เพราะว่าโรคที่ผมเป็นมันหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อแขนได้ และมันก็อาจหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อปอดได้ทุกเมื่อเช่นเดียวกัน ผมได้ออกจาก ICU ในวันรุ่งขึ้น โดยพระคุณพระเจ้า ผมออกมานอนในห้องคนไข้ใน
เพื่อตรวจเช็คเต็มอัตราอีกครั้ง สำหรับโรคที่ผม เป็นนี้การตรวจมี 2 ขั้นตอน ขั้นตอน 1 เรียกว่า EMG เป็นการตรวจสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยใช้ระบบไฟฟ้าและเข็ม และขั้นที่ 2 เรียกว่า NCS เป็นการเช็คการตอบสนองของประสาทและกล้ามเนื้อด้วยการใช้ไฟฟ้าช๊อต มันสาหัสพอควรเพราะต้องใช้เข็มเสียบเข้าไปในกล้ามเนื้อ แต่ละมัดเพื่อหาสัญญาณไฟและการทำงานของกล้ามเนื้อ และใช้ไฟฟ้ากระตุกกล้ามเนื้อเพื่อตรวจดู การตอบสนองของกล้ามเนื้อ หลังจากตรวจได้ผลว่ากล้ามเนื้อระบบประสาทวงแขนทั้งสองข้างไม่ทำงาน คุณหมอวินิจฉัยว่าผลจากการตรวจ น้ำในไขสันหลังพบการอักเสบเกิดขึ้น พบเม็ดเลือดขาวปริมาณ 200 กว่าหน่วย (คนปกติมีประมาณ 2-3 หน่วย) คุณหมอสันนิษฐานว่า เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงในระบบประสาทและทำให้สมองไม่สามารถสั่งงานไปที่กล้ามเนื้อแขนเพื่อใช้งานแขนได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ผม ขยับแขนไม่ได้ หมอบอกว่า “คุณมาช้าไปหน่อย ความเสียหายลุกลามไม่น้อย โอกาสกลับมาเหมือนเดิมอาจจะไม่มี”
ผมใช้เวลานอนอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจละเอียดอีกครั้งหนึ่งกับอาจารย์ จรุงไทย หลังจากการตรวจด้วย EMG และ NCS อีกครั้ง หมอบอกว่าผมเป็นโรคทางระบบประสาทที่วงแขนอักเสบอย่างรุนแรง (Acute Brachial Plexus Neuritis)
ผมต้องใช้ยาเพื่อช่วยเหลือการอักเสบในแผงประสาท ยาที่ว่าใช้ตามน้ำหนักตัว ผมต้องใช้ทั้งหมด 25 ขวด ราคาขวดละ 16,000 บาท ขอบคุณพระเจ้าในวันที่หมอบอกว่าต้องใช้ยา พี่ที่โบสถ์อีกท่าน หนึ่งพาลูกสาวไปทำฟันและไปพบกับหมอฟัน ที่เป็นพี่โบสถ์อีกท่านหนึ่ง ที่ผมรู้จัก พี่ท่านนั้นจึงมาเยี่ยมผมที่บนห้องและพี่ท่านนั้นเองมีญาติ ที่รู้จักเป็นเภสัชกร น่าจะซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่า ขอบคุณพระเจ้าเช่นเดียวกัน คุณหมอยอมให้ผมใช้ยาจากนอกโรงพยาบาลซึ่งปกติแล้ว ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ ผมสามารถซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่า ที่ต้องจ่ายในโรงพยาบาลกว่า 40% พระเจ้ามักเตรียมพระพรของพระองค์ไว้ตามเส้นทาง ในชีวิตของเราอยู่เสมอ หลังจากนั้นผมก็นอนให้ยา 5 วัน (เข็มอีกแล้ว) เสร็จแล้วคุณหมอ ก็อนุญาตให้ผมออกจาก โรงพยาบาลไปพักที่บ้านได้ ผมใช้เวลาทั้งสิ้น 22 วันในโรงพยาบาลสำหรับรอบแรก ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล ผมถามพระเจ้าว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผม และผมก็สงบนิ่งฟังพระสุเสียงของพระองค์ พระเจ้าให้พระคำกับผมว่า
“ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและ รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24)และวันที่ออกจากโรงพยาบาลพระเจ้าทรงตรัสกับภรรยาของผมว่า
“เพราะเจ้าจะออกไปด้วยความชื่นบาน และถูกนำไปด้วยสวัสดิภาพ ภูเขาและเนินเขาเปล่งเสียงร้องเพลง ข้างหน้าเจ้า และต้นไม้ทั้งสิ้นในท้องทุ่งจะตบมือของมัน…” (อิสยา 55:12-13)
เมื่อกลับถึงบ้านรู้สึกอบอุ่นเพราะอยู่ที่โรงพยาบาลกว่า 20 วัน ภรรยาต้องเตรียมเตียงนอนให้ผมเป็นพิเศษ เพราะปกติผมจะนอน บนที่นอนที่วางอยู่บนพื้น แต่ตอนนั้น ผมไม่สามารถลุกขึ้นได้จากการนอนพื้น เพราะไม่มีแรงที่จะพยุงลุกขึ้นด้วยตัวเองได้ และต้องมีคนช่วย ทำกายภาพบำบัดที่เตียงนั้น ผมไม่สามารถแปรงฟัน, อาบน้ำ, ล้างหน้า, หรือ แม้กระทั่งเกาหัวด้วยตัวเองได้
ผมต้องหยุดงานนานกว่า 3 เดือนนอนอยู่ที่บ้าน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการได้พักอยู่ที่บ้านในช่วงไม่สบาย และ ขอบคุณพระเจ้า อีกครั้งสำหรับงานที่ทำอยู่ ผมสามารถหยุดงานได้ในช่วง 3 เดือนโดยที่เจ้านายไม่มาไล่ผมออก และขอบคุณพระเจ้า ที่ได้มีเวลาอยู่กับลูกๆ มากกว่าก่อนป่วย ผมต้องใช้เวลาทุกวันในการทำกายภาพบำบัด วันละ 3 รอบ โดยต้องมีคนช่วยผมยกแขนขึ้นและลง เพราะผมไม่สามารถ ยกขึ้นได้ด้วยตัวเอง ผมต้องซื้อเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้ามากระตุ้นกล้ามเนื้อที่แขนทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อฝ่อ ต้องทำวันละ 2 ครั้ง ตลอดเวลาที่รอการตรวจครั้งต่อไป
การตรวจครั้งที่สองหลังจากการออกจากโรงพยาบาล 1 เดือน ผมต้องกลับไปพบ หมอเพื่อตรวจด้วย EMG และ NCS (อีกแล้ว) คุณหมอบอกว่ามีอาการดีขึ้นระดับหนึ่ง ยาที่ใส่เข้าไปได้ผลและได้แนะนำให้ใส่รอบที่สอง ผมก็ต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลอีก 5 วัน เพื่อใส่ยาชุดที่ 2 หลังจากนั้นอีก 1 เดือนก็ตรวจซ้ำอีกและใส่ยาอีก….เฮอออ… ก่อนครั้งที่ 3 ผมได้พระคัมภีร์ในวันเกิด
พระเจ้าให้ข้อพระคำฟิลิปปี 4:19 “และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์”และ สดุดี 92: 9-15 กล่าวไว้ว่า “… แต่พระองค์ทรงเชิดชูเขาของข้าพระองค์ อย่างกับเขาวัวกระทิง พระองค์ทรงเทน้ำมันใหม่บนข้าพระองค์ นัยน์ตาของข้าพระองค์ มองเห็นพวกศัตรูของข้าพระองค์แพ้ หูของข้าพระองค์ ได้ยินถึงความล่มจม ของคนทำชั่วที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ คนชอบธรรมก็งอกขึ้น อย่างต้นอินทผลัมเจริญขึ้นอย่างต้นสนสีดาร์ในเลบานอน คนได้ปลูกมันไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า ของเราทั้งหลาย มันแก่แล้วก็ยังเกิดผล มันมีน้ำเลี้ยงเต็มและเขียวสดอยู่ เพื่อแสดงว่าพระเจ้านั้นเที่ยงธรรม พระองค์ทรงเป็นพระศิลาของข้าพระองค์ ในพระองค์ไม่มีความอธรรม”
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคำและคำหนุนใจของพระองค์ พระเจ้าทรงอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงตรัสกับภรรยาผมว่า พระองค์ทำลายพระวิหารเพื่อสร้างขึ้นมาใหม่ และพระองค์จะทรงทำการใหญ่ ฮาเลลูยา พระคำของพระองค์เป็นกำลังให้ชีวิตของเราทั้งสอง ในช่วงนั้นดำเนินต่อไปได้ด้วยความเชื่อจริงๆ
ในการตรวจครั้งที่ 3 กล้ามเนื้อหัวไหล่ผมเริ่มฝ่อและหายไปมาก ประกอบกับแรงโน้มถ่วงโลกทำให้กระดูกหัวไหล่ของผม เริ่มหลุดออกจากเบ้า หมอแนะนำให้ใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงไหล่ทั้ง 2 ¬ข้างไว้ ผมรู้สึกอึดอัดมากกับอุปกรณ์ที่ว่านี้ แต่มันก็ช่วยพยุงหัวไหล่ไว้ ไม่หล่นไปมากกว่าเดิม หลังจากตรวจไป 3 ครั้ง หมอบอกว่ายานี้อนุญาตได้ทั้งหมดไม่เกิน 5 ครั้ง หมอบอกว่าครั้งที่สี่ก็ควรจะยังต้องใส่อยู่ ก็กลับไปตรวจแล้วใส่ยาอีกครั้ง ในครั้งที่ 4 หลังจากให้ยาและกลับไปตรวจแล้ว แขนทั้งสองข้างยังยกแทบไม่ได้ แต่อาการปวดเหมือนกับทุเลาลง อาจจะมาจากยาแก้ปวดที่กินทุกๆ 8 ชม.ก็เป็นได้ อาจารย์หมอหันมาบอกว่า “คุณสุรเชษฐ …คุณอาจจะมาได้แค่นี้ แขนของคุณอาจจะมาได้แค่นี้”…. ผมฟังแล้วก็อึ้งกับคำพูดของหมอ หมอกำลังหมายความว่าไม่มีครั้งที่ 5 เพราะผลความต่างไม่เพียงพอกับการให้ยาครั้งต่อไปได้ ผมบอกกับหมอว่า “ผมจะหายดี” เมื่องานของมนุษย์ถึงจุดสิ้นสุด พระเจ้าก็จะสำแดงพระคุณและ ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนหลังจากที่ผมคุยกับหมอเสร็จก็กลับบ้านและยังคงทำกายภาพบำบัดต่อไป ช่วงนี้ผมเริ่มเปลี่ยนการทำกายภาพลงไปทำในสระว่ายนํ้า ในใจเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าจะเป็นผู้รักษา หลังจากนั้น 4 เดือน เพื่อนร่วมงานของภรรยาผมที่โรงเรียน ฺBCIS ชื่อ Mr.Ade เป็น ศิษยาภิบาล คจ. Redeemed Church of God ถามผมว่า อยากจะมีประสบการณ์กับพระเจ้ามากขึ้นมั้ย และผมตอบกลับไปว่า “อยากสิ” ท่านชวนผมไปงานฟื้นฟู นมัสการพระเจ้าประจำปีที่คริสตจักรแม่ของเขาที่ประเทศไนจีเรีย ผมและภรรยาจึงบอกเค้าว่าคงต้องใช้เงินไม่น้อย และ Mr.Ade บอกว่าถ้าพระเจ้าอยากจะให้คุณไป พระเจ้าก็จะเตรียมสิ่งเหล่านั้นให้ หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ อาจารย์ก็มาบอกกับภรรยาผมว่า พระเจ้าให้คุณไปแล้ว และมีคนออกค่าเครื่องบิน, อาหาร, และที่พักให้ ผมและภรรยาประหลาดใจมากและไม่คิดมาก่อนว่าตนเองจะได้มี โอกาสไป อัฟริกา ในตอนนั้นผมยังต้องใส่เครื่องช่วยพยุงหัวไหล่อยู่ ผมต้องอยู่ในห้องแอร์ตลอดไม่งั้นจะร้อนมากและเหงื่อออกท่วมตัว ไม่สามารถถือกระเป๋า หรือของที่มีน้ำหนักได้ รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นภาระในการเดินทางไม่ใช่น้อย แต่พระเจ้าก็ให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ในงานฟื้นฟูที่ Redemption City ในประเทศไนจีเรีย มีผู้ร่วมงานในปีนั้น 7 ล้านกว่าคน ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน รู้สึกตื่นเต้น ก่อนเดินทางไปผมตัดสินใจไม่เอาอุปกรณ์ช่วยพยุงหัวไหล่ไปด้วยเพราะผมคิดว่าผมไม่ต้องการใช้มันอีกแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ยกหัวไหล่ทั้งสองขึ้นเอง
ทุกคืนในงานนมัสการจะมีการเทศนา ร้องเพลงนมัสการและการอธิษฐานด้วยใจร้อนรน มีทีมนมัสการเป็นหมื่นคน มีผู้นำนมัสการและศิษยาภิบาลหลายพันคน ร้อง “ฮาเลลูยา” ทีนึงพื้นสั่นสะเทือน เสียงก้องกังวาลเป็นคลื่นเลยครับ พระเจ้าได้เปิดหู ตา ผมให้รู้ว่าอีกซีกโลกนึง มีคริสเตียนที่รักพระเจ้ามากมายมหาศาล ผมและภรรยาได้รับพระพรมากมายจากวิธีการนมัสการของผู้นมัสการที่แท้จริง (
true worshipper) ในประเทศในจีเรีย และในงานภรรยาผมได้ยกแขนข้างซ้ายของผมตลอดการอธิษฐาน หลังจากจบงานก็ เดินทางกลับบ้านได้ไม่ถึง 1 อาทิตย์ แขนซ้ายผมก็เริ่มยกขึ้นได้ นี่คือของขวัญจากพระเจ้า ผมและภรรยาชื่นชมยินดีมาก และหันมามองหน้ากันและถามซึ่งกันและกันอย่างฮาๆ ว่าทำไมไม่ยกแขนขวาด้วย…(T-T) เพราะตลอดงานภรรยายืนทางด้านซ้ายตลอด แต่ผมเชื่ออยู่ในใจว่าพระเจ้าเป็นผู้รักษา พระองค์ก็จะทำให้สำเร็จ
พระธรรมฟิลิปปี 1:6 เป็นอีกข้อพระคำนึงที่พระเจ้าได้ให้ผมในช่วงรอคอย “ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้วจะทรงกระทำให้สำเร็จ จนถึงวันเเห่งพระเยซูคริสต์”
หลังจากนั้นผมก็ทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เริ่มกลับมาทำกิจวัตรประจำวันปกติได้ และเริ่มตีกลองได้ ในเวลาอีกไม่กี่เดือน หลังจากนั้นแขนขวาก็เริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้น ผมกลับไปเยี่ยมคุณหมอ วาริสา เมื่อเดือนก่อน ไปยกแขนให้ท่านดู คุณหมอตกใจครับ เพราะว่าท่านไม่คิดว่าผมจะกลับมีกล้ามเนื้อแขนแข็งแรงเหมือนเดิม ปัจจุบันนี้ผมแข็งแรงกว่าเดิมเสียอีก ผมรู้สึกว่าตลอด 1 ปีครึ่ง นับตั้งแต่ป่วยจนถึงวันนี้ พระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งในชีวิตผมและทำให้ผมเติบโตในพระองค์มากขึ้น ใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นและขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง สุดท้ายนี้ พระเจ้าได้ให้พระคำ 1 เปโตร 4:12-13 มาตอนช่วงคริสมาสที่ผ่านมา
“ดูก่อนท่านที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วนในความทุกข์ยาก ของพระคริสต์เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้นท่านทั้งหลาย ก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย”
จากประสบการณ์นี้ ผมได้เรียนรู้ว่าการนมัสการที่แท้จริงนั้นนำมาซึ่งชีวิตที่บริบูรณ์ในพระคริสต์ ผมได้สัมผัสหัวใจของพระบิดา และการสถิตอยู่ ขององค์พระวิญญาณบริสุทธ์ ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณอันล้นเหลือที่ผมไม่สมควรได้รับ แต่พระองค์ทรงเมตตาผม ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกๆ คนที่อธิษฐานเผื่อผม ในหลายๆ คริสตจักร และในหลายๆ ประเทศ ขอบคุณพระเจ้าครับ (^-^) พระองค์น่ารักจริงๆ
กรกฎาคม 2008