ศาสตราจารย์แพทย์หญิง อุมาพร ตรังคสมบัติ จิตแพทย์และอาจารย์ประจำคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเจ้าของรางวัลจิตแพทย์ดีเด่นสาขาการวิจัย จากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยหนังสือดีเด่น “จิตบำบัดและการให้คำปรึกษาครอบครัว” รางวัล ITF Award จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมูลนิธิโตโยต้า
ดิฉันได้อธิษฐานรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต ขอพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและ ขอรับดิฉันเป็นลูกของพระองค์เมื่อตอนอายุ 12 ปี ดิฉันเป็นคนที่สนใจสิ่งรอบตัวและ เป็นคนช่างสงสัยตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน เวลาเรียนหนังสือชอบยกมือถามครูใน ห้องเรียนเสมอ บางครั้งจบชั่วโมงเรียนยังชอบเดินตามครูไปตั้งคำถามค้างคาใจนอก ห้องเรียนอีก จนเพื่อนๆตั้งสมญานามว่า “มนุษย์เจ้าปัญหา” คำถามหนึ่งที่มีวนเวียนอยู่ในใจตั้งแต่เด็กคือ “พระเจ้ามีจริงหรือ?” ดิฉันมีโอกาสอ่านหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ครั้งแรกเมื่อตอนเรียนอยู่ชั้น ประถม ปีที่ 5 รู้สึกว่าเนื้อหาหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะเรื่องราวชีวิตของพระเยซู คริสต์ ดิฉันประทับใจในพระดำรัสของพระองค์หลายตอนเช่น ในหนังสือยอห์น บทที่ 6 ข้อ35 ที่กล่าวว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่วางใจในเราจะ ไม่กระหายอีกเลย” และอีกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มเดียวกัน บทที่ 14 ข้อ6 ที่กล่าวว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา” ด้วยความประทับใจในเรื่องราวที่ได้อ่าน วันหนึ่งดิฉันจึงหาโอกาสติดตามญาติคนหนึ่งไป โบสถ์และเริ่มศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น พระคัมภีร์กล่าวว่าโลกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้าง พระองค์ทรงสร้างจักร วาลและสรรพสิ่งทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์บนโลก และพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์ ได้ทำบาปและถูกตัดขาดจากพระเจ้า ด้วยความเมตตาของพระองค์ พระเยซูคริสต์จึงได้ เสด็จลงมาบนโลกและทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเราทั้งหลาย ทำให้ มนุษย์มีโอกาสกลับคืนดีกับพระเจ้าอีก ความจริงอีกข้อหนึ่งที่ดิฉันเรียนรู้จากพระคัมภีร์ก็ คือ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริง และพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของเรา เราแต่ละคนสามรถ เข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรงด้วยการอธิษฐานโดยไม่จำเป็นต้องผ่านบุคคลอื่น พระองค์ทรงตอบ คำอธิษฐานของดิฉันหลายครั้งตลอดระยะเวลา 40 ปี พระองค์ทรงทำให้ชีวิตของดิฉันดำเนิน ไปอย่างมีจุดหมายและมีความหวัง ทรงทำให้จิตวิญญาณมีความมั่นคงและสงบสุข บนถนน แห่งชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรและอย่างไรนั้น เราไม่ได้ดำเนินอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่มี พระองค์อยู่เคียงข้างเสมอ ในชีวิตการทำงานตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันได้ให้เการดูแล รักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคจิต รวมทั้งคนไข้ที่ประสบปัญหาต่างๆ อันเป็นผลมาจากการถูกละเมิดทางเพศ หรือถูกทารุณกรรม หรือคนไข้ที่มาจากภูมิหลังที่รัน ทดอันส่งผลให้พัฒนาการทางจิตใจบกพร่อง เช่น เด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้งหรือพ่อแม่หย่าร้าง ดิฉันพบว่า การเยี่ยวยาจิตใจคนเป็นสิ่งที่ยากมาก แม้ในปัจจุบันจะมีการค้นพบยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยาสามารถบำบัดได้เฉพาะ “อาการ” เท่านั้น ลึกลงไปในจิตใจของคน ก็ยังคงบอบช้ำและว่างเปล่าอยู่ แม้การบำบัดทางจิต (psychotherapy) ที่ดิฉันทำเพื่อ บำบัดคนไข้อยู่เป็นประจำจะช่วยทำให้คนไข้จิตใจเข้มแข็งขึ้นก็ตาม แต่มันก็เป็นการเยียวยา ที่ “ผิวเผิน” เท่านั้น บ่อยครั้งที่คนไข้กินยาหรือทำจิตบำบัดไปแล้วดูเหมือนอาการจะดีขึ้น แต่ในที่สุดอาการก็กำเริบและต้องกลับมารักษาใหม่อีก ดิฉันเชื่อว่า “การเยียวยา” ที่แท้จริงที่จะทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์นั้น ต้องเป็นการ เยียวยาที่ “จิตวิญญาณ” นั่นคือจิตวิญญาณของเราต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ จึงจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุข ดิฉันเชื่อว่า พระเจ้าเท่านั้นคือแพทย์ผู้ประเสริฐ ที่สามารถเยียวยาได้ การเยียวยาของพระองค์ไม่ใช่สำหรับคนไข้เท่านั้น แต่สำหรับเรา ทุกคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคน “ปกติ” ด้วย ดิฉันเชื่อว่า เราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างในชีวิต ที่จำเป็นต้องการได้รับการเยียวยาเช่นกัน ในพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ บทที่ 5 ข้อ 17 กล่าวว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดเก่าๆก็ล่วงไป นี่แนะ! กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” หากท่านแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง ดิฉันเชื่อว่าท่านจะพบพระองค์เช่นเดียวกับดิฉันได้พบ และชีวิตของท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นชีวิตที่มีความหมายและเต็มบริบูรณ์อย่างแน่นอน