เมื่อจะตอบคำถามนี้ เราจำเป็นต้องระลึกไว้ว่า เราไม่ควรตัดสินคำสอนหรือความจริงในศาสนาหรือปรัชญาใด ๆ ด้วยการกระทำหรือพฤติกรรมของคนที่ไม่ทำตามคำสอนเหล่านั้น
เมื่อเป็นดังนี้ เราจึงต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าสงครามและความโหดร้ายอื่น ๆ ที่มีคนกระทำโดยอ้างพระนามพระคริสต์นั้น เกิดขึ้นจากคนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้ หรืออาจเป็นคริสเตียนจริงแต่ไม่ทำตามคำสอนของพระเยซู ความขัดแย้งเช่นนี้มักเกิดจากแรงจูงใจทางการเมืองและเศรษฐกิจ แต่เอาเรื่องศาสนามาบังหน้าเพื่อชักนำมวลชนให้เชื่อว่า ถ้าพวกเขาเข้าร่วมรบ เขาจะได้รับผลประโยชน์นิรันดร์ขั้นสูงสุด ดังนั้นแทนที่จะตัดสินคริสต์ศาสนาด้วยการกระทำของคนเหล่านี้ เราควรตัดสินด้วยคำสอนของผู้ก่อตั้งและผู้นำของคริสต์ศาสนา นั่นคือพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณอ่านคำสอนของพระเยซูในพระคัมภีร์ คุณจะพบคำสอนอย่างเช่น “ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย” (ลูกา 6:29) “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (มัทธิว 5:44) และ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (มัทธิว 19:19) คำสอนเหล่านี้ไม่เหมือนคำพูดของผู้นำที่ฝักใฝ่สงครามเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่เราควรระลึกไว้ก็คือ สงครามไม่ใช่ปัญหาสำหรับคริสต์ศาสนาเท่านั้น มันเป็นปัญหาของทุกศาสนาและทุกอุดมคติ ระบอบการปกครองที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเข่นฆ่าคนในศตวรรษที่ผ่านมามากกว่า ที่รัฐบาลหรือองค์กร “คริสเตียน” ใด ๆ ทำลงไปในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา
อีกเรื่องหนึ่งที่สมควรเน้นย้ำก็คือ ผลกระทบทางบวกที่คริสต์ศาสนาก่อให้เกิดขึ้นในสังคม เรื่องนี้มักถูกมองข้ามเมื่อคนพูดถึงเรื่องแง่ลบที่มีคนกระทำโดยอ้างความ เชื่อศรัทธานี้ สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ของเราเกิดจากคริสต์ศาสนา ผู้ริเริ่มวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายคนเป็นคริสเตียน การฟื้นฟูในศตวรรษที่ 17 และ 18 ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปสังคมซึ่งนำไปสู่การเลิกทาส และการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของผู้หญิงและเด็ก องค์กรเพื่อมนุษยธรรมอย่างเช่นซัลเวชั่นอาร์มี่ สภากาชาด และวายเอ็มซีเอ ก็เกิดจากการฟื้นฟูในช่วงนั้น การระลึกถึงความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพที่ครบถ้วนและสมดุลยิ่งขึ้น ในเรื่องผลกระทบที่คริสเตียนมีต่อสังคม
ต่อไป: พระเจ้ามีจริงหรือ?